พัฒนาชุมชน
“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคริสตจักรสังขละบุรี หมู่ที่ 5 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี ได้รับรางวัลชนะเลิศ “สิงห์ทอง” สำหรับกลุ่ม/องค์กรชุมชนแกนหลักสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้านดีเด่นระดับจังหวัด ตามประกาศจังหวัดกาญจนบุรี ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568”
คริสตจักรสังขละบุรีกับการระดมทรัพยากรในท้องถิ่น : เมื่อศรัทธานำไปสู่การพัฒนาเพื่อสร้างอาชีพ
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชนสังขละบุรี คือ การที่สมาชิกในคริสตจักรและคนในหมู่บ้านจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานออกไปทำงานในเมืองด้วยความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากในชุมชนเองไม่มีงานที่สร้างรายได้ประจำอย่างมั่นคง ส่งผลให้หลายครอบครัวต้องอยู่ห่างไกลกัน พ่อแม่ต้องไปทำงานต่างถิ่น ปล่อยให้ลูกหลานอยู่กับญาติผู้ใหญ่ หรือบางครั้งก็เติบโตมา โดยขาดความอบอุ่นจากครอบครัวอย่างเต็มที่ และสถานการณ์นี้ ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้คริสตจักรสังขละบุรีเริ่มต้นแก้ปัญหา โดยใช้แนวทางการ “ระดมทรัพยากรในท้องถิ่น” มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน
คริสตจักรสังขละบุรี ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นคริสตจักรคู่มิตรของคอมแพสชันในการทำพันธกิจพัฒนาเด็กและเยาวชนแบบองค์รวม จึงเห็นความสำคัญในเรื่อง “การระดมทรัพยากรในท้องถิ่น” เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเด็ก เยาวชน และคนในชุมชน รวมถึงการนำทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในมิติของการเสริมสร้างรายได้ การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ และการเสริมสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนในระดับชุมชน ทรัพยากรในท้องถิ่นที่ถูกนำมาใช้ ประกอบด้วยทรัพยากรมนุษย์ เช่น สมาชิกในคริสตจักรและคนในชุมชนที่มีใจอาสา รวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ร่วมกัน อีกทั้งยังมีการนำทรัพยากรธรรมชาติอย่างพืชผักพื้นถิ่นที่หาได้ในชุมชนมาพัฒนาและแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ที่สามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่ครอบครัวและคริสตจักร ซึ่งความสำเร็จของกระบวนการนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของการร่วมมือระหว่างชุมชนกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างสนับสนุนให้คริสตจักร สามารถเดินหน้าในบทบาทของศูนย์กลางการพัฒนาชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและมีความหมาย
ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์ ศิษยาภิบาลคริสตจักรสังขละบุรี ได้กล่าวว่า “คริสตจักรเรามีโอกาสได้พูดคุยกันในคณะกรรมการว่าเราจะทำยังไงเพื่อจะสร้างรายได้ให้กับสมาชิก เพื่อที่เขาจะดูแลครอบครัวของตัวเองได้ กรรมการก็ตั้งงบประมาณขึ้นมา เพื่อที่จะส่งเสริมอาชีพสมาชิก มีหลายอย่างมากที่เราทดลองทำ ไม่ว่าจะเป็นถ่านอัดแท่ง เลี้ยงวัว ทำสวนมะนาว เพื่อที่จะหารายได้ให้กับกลุ่มแล้วก็ชุมชนครับ แต่ที่ตอบโจทย์มากที่สุดคืออาหารพื้นถิ่นแปรรูป”
ก้าวสำคัญของคริสตจักรสังขละบุรี คือการสร้างโอกาสให้สมาชิกในชุมชนได้มีรายได้เสริมจากการอยู่บ้านเกิด ผ่านการรวมกลุ่มอาชีพวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารพื้นถิ่น โดยกระบวนการเริ่มต้นขึ้น เมื่อสมาชิกกลุ่มเล็ก ๆ ของคริสตจักรได้รวมตัวกัน และแสวงหาองค์ความรู้จากแหล่งที่มีอยู่ในชุมชน อย่าง “มูลนิธิพัฒนรักษ์” ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาอาชีพ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนชายขอบ ที่อาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนด้านตะวันตกในพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งในเวลานั้น “มูลนิธิพัฒนรักษ์” ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการแปรรูปอาหารอบแห้ง ที่ได้รับจากประเทศญี่ปุ่น นำมาถ่ายทอดให้คนในพื้นที่ได้เรียนรู้
“ผมก็เลยชวนสมาชิก 4-5 คนไปเรียนรู้กระบวนการครับ เวลานั้นเขาทำส้มป่อย ปลาดุกย่างกันแล้ว เราจะทำเหมือนกันไม่ได้ เพราะเขาจดสิทธิบัตรแล้ว เขาก็เลยให้เรากลับมาคิดว่า เราจะทำพืชผักชนิดไหน พวกเราก็เลยคิดกันว่า อาหารพื้นถิ่นที่เรากินอยู่ประจำก็คือผักเหลียงปลารมควัน เราจะนำอาหารประจำวันมาสร้างเป็นรายได้ได้ยังไง ก็เลยเริ่มต้นทำผักเหลียงปลารมควันเป็นตัวแรก พอทำเสร็จ ก็ลองให้ที่ต่าง ๆ ชิม ให้พัฒนาชุมชนชิม เกษตรชิม หรือใครไปใครมา เราก็ให้เขาช่วยชิม แล้วก็ให้เขาคอมเม้นท์ว่ารสชาติของเราเป็นอย่างไรบ้าง รสชาติเป็นอย่างไร ต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เขาก็จะแนะนำมา แล้วก็เราปรับปรุงจนได้สูตรของเรา” ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์ ศิษยาภิบาลคริสตจักรสังขละบุรี กล่าวเพิ่มเติม
นี่คือกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การรวมกลุ่มเพื่อพึ่งตนเอง และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นฐานในการพัฒนาสินค้าท้องถิ่นให้กลายเป็นรายได้ที่มั่นคง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “การระดมทรัพยากรในท้องถิ่น” ที่ใช้ความรู้ ความสัมพันธ์ และวัตถุดิบในชุมชน มาแปรเปลี่ยนเป็นโอกาสใหม่ให้กับชีวิตของผู้คนในชุมชน การเริ่มต้นเล็ก ๆ ในวันนี้ กำลังผลิดอกออกผลให้หลายครอบครัวได้อยู่กับบ้าน ได้มีอาชีพ และได้ร่วมกันสร้างชุมชนแห่งการพึ่งพาอาศัยในแบบยั่งยืน
“กรมการพัฒนาชุมชนก็ได้นำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องของการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ประเทศไทย เราได้สนับสนุนให้ทุกครัวเรือนปลูกผักสวนครัว อย่างน้อยครัวเรือนละ 10 ชนิด เพื่อใช้บริโภคภายในครัวเรือน แล้วก็แบ่งปันในชุมชน แต่ก็ยังมีส่วนเหลือจากการบริโภค เราก็คิดกันว่าจะทำยังไง เพื่อให้ผักเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนได้ ทั้งผักรส ผักเหลียง ชะอม ส้มป่อย รวมถึงดอกดิน ก็เลยเป็นที่มาของการนำผักมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ในการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่ายและเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนนะครับ เป็นการสร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนเลยครับ” ว่าที่ร้อยเอกวีระ สมพงษ์ สำนักงานพัฒนาชุมชน อ. สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีกล่าว
นอกจากนั้น คริสตจักรสังขละบุรี ยังได้ทำงานประสานร่วมกับสำนักงานเกษตร อำเภอสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุน พร้อมผลักดันให้เกิดความเข้มแข็งในกลุ่ม นางสาวนุชรี คำมี นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ รักษาราชการแทนเกษตรอำเภอสังขะละบุรี ได้กล่าวถึงศักยภาพของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปการเกษตร คริสตจักรสังขละบุรีว่า “ทางทีมงานเกษตรอำเภอสังขละบุรี จะทำหน้าที่เหมือนเป็นพี่เลี้ยงกลุ่ม เราจะมีการวิเคราะห์ศักยภาพ เช่น การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค แล้วก็เราก็จะมีการทำแผนพัฒนา กำหนดกลยุทธ์การพัฒนากลุ่ม แล้วก็เอาแผนตัวนี้เสนอให้กับเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อที่จะให้ทางหน่วยงานที่อยู่ในระดับจังหวัดได้ลงมาช่วยส่งเสริมกลุ่มให้มีความเข้มแข็ง และเมื่อดูจากการประกอบกิจการของกลุ่ม ก็จะเป็นการนำผักพื้นบ้านมาแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากภูมิปัญญาชาวบ้าน แล้วก็ในสูตรอาหารที่เขาทำ ก็จะมีในเรื่องของการใช้ปลาย่างรมควันด้วย เพราะฉะนั้น การประกอบกิจการของกลุ่มฯ ทำให้ทั้งคนที่ปลูกผัก แล้วก็ชาวบ้านที่เก็บผักที่อยู่ในพื้นที่ป่า สามารถนำผักมาขายที่กลุ่ม แล้วก็มีรายได้ด้วย แล้วกลุ่มที่ได้ประโยชน์อีกกลุ่ม ก็คือกลุ่มที่เลี้ยงปลาและรมควันปลา จะเห็นได้ว่าได้มีการเชื่อมโยงกันแล้วทำให้คนในชุมชนเกิดรายได้ ที่สำคัญ สินค้าที่ออกมา มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร คริสตจักรสังขละบุรี ยังได้รับแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของชุมชนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก หนึ่งในองค์กรที่เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมคือ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 11 กองบัญชาการกองทัพไทย (นพค.) ซึ่งได้เข้ามาสนับสนุนการก่อสร้างอาคารแปรรูปผลผลิตเพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มอาชีพ และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของกลุ่มให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ มูลนิธิดรุณาทร ยังเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญ ที่เข้ามาช่วยยกระดับศักยภาพของกลุ่ม โดยได้มอบตู้อบจำนวน 2 เครื่อง พร้อมเครื่องซีลบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถนอมอาหารและบรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย คงคุณภาพได้นานขึ้น และสามารถต่อยอดไปสู่การวางจำหน่ายในตลาดที่กว้างขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เพียงช่วยให้กลุ่มสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มเกิดความมั่นใจในการทำงานร่วมกัน เกิดความเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเอง และเห็นโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านพลังของการรวมกลุ่ม และการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
“เมื่อก่อนเราไม่มีสถานที่ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ เราก็ไปอาศัยพัฒนรักษ์กับตู้อบเล็ก ๆ ที่นั่น ไปกลับทุกวัน ๆ ในที่สุดพอพัฒนรักษ์มาช่วย เราก็ได้อาคารสำหรับแปรรูป แล้วก็ได้อุปกรณ์สำหรับการแปรรูปเพิ่มเติม ส่วนพัฒนาชุมชนก็มาช่วยเราในการพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ หาหน่วยงานที่มีความรู้ มีองค์ความรู้ มาช่วยสอนเราด้วย แล้วก็อย่างเกษตรอำเภอ ก็จะช่วยเราในเรื่องของการจดวิสาหกิจชุมชน แล้วก็ให้ความรู้กับพวกเราในการจัดการกลุ่มนะครับ เมื่อสินค้าเราเริ่มเป็นที่รู้จัก ขายได้ ก็ต้องขยายพื้นที่และอุปกรณ์เพิ่ม จากนั้นหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 11 ก็เข้ามาสร้างอาคารให้กับเราเพิ่ม ส่วนมูลนิธิดรุณาทร นอกจากสนับสนุนงบประมาณในการซื้ออุปกรณ์แล้ว ยังได้คอยหนุนเสริมในเรื่องแนวคิดในการระดมทรัพยากรในท้องถิ่น และหนุนใจเราให้ทำพันธกิจในส่วนนี้ต่อไปด้วย” ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์กล่าว
กว่าจะเดินมาถึงเส้นทางแห่งความสำเร็จในวันนี้ การเริ่มต้นของกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร คริสตจักรสังขละบุรี ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยบททดสอบน้อยใหญ่ที่ต้องฝ่าฟัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยขาดหาย คือ “น้ำใจ” และ “การสนับสนุน” จากผู้คนรอบข้าง ทั้งจากผู้นำคริสตจักร ชุมชน หน่วยงานรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายพันธมิตร ที่ต่างก็เข้ามาเติมเต็มในจุดที่กลุ่มยังขาด ทั้งความรู้ แรงงาน อุปกรณ์ และกำลังใจ ความร่วมมือระหว่างชุมชนกับทุกภาคส่วนเหล่านี้เองที่หล่อหลอมให้กลุ่มสามารถยืนหยัด เติบโต และก้าวผ่านอุปสรรคมาได้ในแต่ละช่วงเวลา
“ตอนเริ่มต้น เราก็เจออุปสรรคหลายอย่าง อย่างเช่น ตอนที่เริ่มต้นทำ เราขายสินค้าของเราไม่ได้เลยเพราะว่าคนไม่รู้จักสินค้าของเรา แล้วเดือนต่อมาเนี่ยเราก็ขายได้ 100-200 บาทอย่างนี้ครับ แล้วก็คนที่มาทำงานหลายคนก็เริ่มท้อใจ แต่เราก็หนุนใจกันว่า อย่าเพิ่งท้อ ทำต่อไป อย่างที่ 2 คือทุนเรามีน้อยมาก คริสตจักรออกให้เราประมาณ 20,000 กว่าบาท แค่เรามาลองผิดลองถูก แจกให้คนอื่นช่วยชิม ก็เกือบจะหมดแล้ว แต่ว่าเราก็ค่อย ๆ ทำไปจนถึงวันนี้ประมาณ 7-8 ปีแล้ว” ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์ กล่าวต่อ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ทำให้พี่น้องส่วนหนึ่งสามารถอยู่กับครอบครัว ไม่ต้องเดินทางไกลไปทำงานในเมืองเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและคริสตจักรของตนเองอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการปลูกฝังความรู้สึกเป็นเจ้าของในงานของชุมชน และสร้างรากฐานของความมั่นคงในระยะยาวได้อีกด้วย
นางแอ้ซอ ชาวบ้านในชุมชนหมู่บ้านเวียคะดี้ อ.สังขละบุรี ที่ได้นำเอาผักเหลียงและผักฮาก (ผักขี้นาก หรือ ผักรส) มาขายให้กับกลุ่มแปรรูปอาหารมากว่า 4 ปี แต่ละครั้งได้นำผักมาขาย 10-20 กิโลกรัม ได้เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้รับจากการนำผักสวนครัวที่ปลูกเองมาขาย เพื่อก่อให้เกิดรายได้ว่า “บางครั้งที่มาขาย ได้ประมาณ 500 -1,000 บาท เงินที่ได้มาก็จะหักสิบลดไปก่อน หลังจากที่เราหักสิบลดไปเสร็จ เราก็จะจ่ายเป็นค่าไฟ แล้วก็ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของเรา ก็ช่วยได้เยอะมาก แล้วอีกอย่าง ถ้าเราเอาผักไปขายเองในหมู่บ้าน บางครั้งจะลำบากหน่อย แต่มีกลุ่มรับซื้อแบบนี้ทำให้เรามั่นใจว่าเขาจะซื้อและเราจะมีรายได้แน่นอน”
นายชนะ พงศ์ไตรวิชญ์ ผู้รับหน้าที่ทำปลาย่างรมควัน เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารแปรรูปให้กับกลุ่มฯ ได้ทำมาประมาณ 5 ปี ซึ่งในการทำปลารมควันแต่ละครั้ง จะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,500 บาท ซึ่งใน 1 เดือน จะทำปลารมควัน 2-3 ครั้งโดยประมาณ
“ที่ทำปลารมควันนี้ ผมได้รับประโยชน์มากเลยเพราะว่า ตอนนี้ลูกผมก็กำลังเรียนอยู่ แล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านก็มีเยอะ เพราะฉะนั้น เวลานี้ผมได้รับรายได้จากตรงนี้เพิ่มขึ้นมา หลังจากที่พอสิ้นเดือน ผมก็จะหักสิบลดแล้วก็หักให้กับคนที่ช่วยผม เหลือจากนั้น ผมก็สามารถจะส่งค่าขนมหรือว่าค่าเล่าเรียนให้กับลูกผมได้ ทำให้สภาพการเงินคล่องตัวมากขึ้นครับ”
นางภาพร ผู้จัดการกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร คริสตจักรสังขละบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบุกเบิกกลุ่มฯ ที่เมื่อก่อนเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลครอบครัว แต่เมื่อเธอได้มาเข้ามาร่วมกลุ่มดังกล่าวนี้ ทำให้เธอสามารถมีรายได้เสริม เพื่อช่วยครอบครัวได้ด้วย
“ในแต่ละวันดิฉันก็จะคอยเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ที่จะต้องทำ รายได้ของแต่ละเดือน ก็ขึ้นอยู่กับงาน ถ้าเรามาทำงานทุกวัน เราก็จะได้รับรายรับเยอะ บางเดือนก็อาจจะได้ 4,000 กว่าบาทขึ้นไปก็มี ทำให้สามารถส่งเป็นค่าขนมให้กับลูกที่ไปเรียนหนังสือได้ แล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวได้ ดิฉันก็เห็นว่างานนี้ก็เป็นประโยชน์ให้กับครอบครัวของดิฉัน และเป็นประโยชน์ให้กับพี่น้องในหมู่บ้าน ที่ไม่ต้องออกไปทำงานในพื้นที่อื่น ถึงแม้จะได้รับรายได้ไม่มากนัก แต่ก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวของเราที่จะอยู่ด้วยกันค่ะ”
เช่นเดียวกันกับนางเนตรนภา ชนะศึก อีกหนึ่งสตรีที่เข้าร่วมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหาร ที่ได้รับประโยชน์มากมาย จากการที่ได้มีรายได้จากงานในกลุ่มนี้
“ดิฉันไปทำงานในองค์กรมา 11 ปี พอกลับมาอยู่บ้านก็ยังไม่ได้มีงานทำ แต่ละวันคือทำหน้าที่แม่บ้าน พอส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จก็ไม่มีอะไรทำ ไม่มีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว พอมีกลุ่มนี้ขึ้นมา แล้วเราก็มีความสนใจ แล้วงานนี้เราก็คิดว่าไม่ได้ยาก ซึ่งเป็นการทำแกง เป็นสิ่งที่แม่บ้านต้องทำอยู่แล้ว แต่เราได้มาเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อทำเป็นอาหารสำเร็จรูปเพื่อที่จะขาย หน้าที่หลัก ๆ ก็คือ จะเป็นคนเด็ดผัก แล้วก็ต้องเตรียมเครื่องปรุงต่าง ๆ รายได้ต่ำสุดก็ได้ประมาณ 2,800 บาท สูงสุดก็ประมาณ 4,000 กว่าบาทค่ะ พอเรามีงานตรงนี้ช่วยได้เยอะมาก เพราะว่าเราจะได้ช่วยเหลือค่าไฟที่บ้านได้ แล้วก็ค่าขนมลูก แล้วก็ค่ากับข้าวอีกด้วย”
นอกจากการมีรายได้จุนเจือครอบครัวแล้ว การทำงานในกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร ยังทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น การทำงานร่วมกันยังช่วยให้เกิดความร่วมมือ ความสามัคคี และความเป็นหนึ่งเดียว ทั้งในระดับคริสตจักรและชุมชน ดังนั้น กลุ่มวิสาหกิจจึงไม่ใช่แค่แหล่งรายได้ แต่ยังเป็นพื้นที่ที่หล่อเลี้ยงสายใยของชุมชนให้แข็งแรงมากขึ้นด้วย
ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์ ศิษยาภิบาลคริสตจักรสังขละบุรี ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวนี้ว่า “ในความคิดของผม การมีกลุ่มสร้างอาชีพในชุมชนหรือในคริสตจักรนี่เป็นสิ่งที่ดี หนึ่งก็คือ คนที่มาทำเนี่ย เขาก็จะมีรายได้ของเขา แล้วก็อย่างที่ 2 ก็คือ เมื่อเขามีรายได้เขาก็ไม่ต้องออกไปหางานที่อื่น เขาก็จะอยู่ด้วยกันที่นี่ ในครอบครัวของตัวเอง แล้วก็ในชุมชน และในคริสตจักรของตัวเอง แล้วอีกอย่างหนึ่งบางทีมันก็เกิดความสัมพันธ์ในกลุ่ม กลุ่มคนที่มาทำงานด้วยกัน คนซื้อคนขาย แล้วก็ความสัมพันธ์อื่น ๆ นะครับ ไม่ว่าจะกับหน่วยงาน ผู้นำหมู่บ้าน หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เราก็จะรู้จักกันมากขึ้น แล้วก็จะทำงานร่วมกันได้มากขึ้นครับ”
ว่าที่ร้อยเอกวีระ สมพงษ์ สำนักงานพัฒนาชุมชน อ. สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่กลุ่มฯ กำลังทำอยู่ เป็นการยกระดับจากผักพื้นถิ่นธรรมดา มาสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นการใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิมของท้องถิ่น มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ ก็จะมีรายได้จากงานในส่วนนี้ คือสมาชิกกลุ่มที่มาร่วมกันผลิตสินค้า และเราได้มีการระดมหุ้นจากสมาชิกในชุมชน ซึ่งผู้ที่ถือหุ้น ก็จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลจากผลกำไรของกลุ่ม และสุดท้ายเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ก็คือสมาชิกในชุมชนที่ปลูกผัก ไม่ว่าจะเป็นผักอะไรก็แล้วแต่ที่เรานำมาใช้ในการแปรรูป ก็สามารถสร้างรายได้เสริมจากตรงนี้ได้ ตอนนี้ที่ทางพัฒนาชุมชนส่งมาให้กับกลุ่มที่ผลิตสินค้า มีอยู่ประมาณ 40-50 ครัวเรือน เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าทั้งสมาชิก ทั้งผู้ถือหุ้น ทั้งผู้ปลูกผักมาจำหน่ายให้กับพวกเรา รวม ๆ แล้วก็เกือบ100 ครัวเรือนแล้ว”
เมื่อมีการผลิตสินค้าออกมาแล้ว ช่องทางการจำหน่าย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มสามารถเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง กลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร คริสตจักรสังขละบุรี ได้มีการคิดค้นวิธีการมากมาย ลองผิดลองถูกในหลายช่องทาง เพื่อให้คนได้รู้จักสินค้าของกลุ่มตนมากขึ้น เพื่อก่อนให้เกิดการซื้อต่อไป นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้การตลาดออนไลน์ เพื่อขยายโอกาสสู่ลูกค้าภายนอกชุมชน ทำให้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันสินค้าชุมชนให้เติบโตขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเป็นความท้าทายที่ไม่ง่ายนักในช่วงเริ่มต้น
“วิธีหาตลาดของพวกเรา วิธีที่ 1 เลยก็คือ เราส่งให้เพื่อน ๆ ของพวกเราน่ะลองชิมดู แล้วก็ลองส่งให้ญาติพี่น้องที่อยู่ต่างประเทศน่ะลองชิมดูด้วย
วิธีที่ 2 ก็คือ คนที่เรารู้จักกันนี่แหล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาชุมชน เกษตร ก็ไปประชาสัมพันธ์ให้ เมื่อก่อนผู้นำหมู่บ้านของเราก็ไปประชาสัมพันธ์ให้ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย อำเภอสังขละบุรี เพื่อคนจะได้รู้จักผลิตภัณฑ์ของชุมชนเรา แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือเราเปิดเพจ ลงรูป ลงสินค้าของพวกเรา ให้คนอื่นได้เห็นผ่านทางออนไลน์ครับ เพื่อคนจะได้รู้จักของพวกเรามากขึ้นอีกช่องทางหนึ่ง”
นอกจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหาร จะเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้เสริมให้กับพี่น้องในคริสตจักรและชุมชน ช่วยให้หลายครอบครัวไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่ แต่ยังถือเป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนาแบบยั่งยืนที่สอดคล้องกับแนวทาง BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ที่ประเทศไทยกำลังให้ความสนใจและส่งเสริม โดยเฉพาะในมิติของเกษตรชีวภาพ (Bio) และ เกษตรสีเขียว (Green) ที่กลุ่มวิสาหกิจนี้นำพืชผักพื้นบ้าน หรือผลผลิตทางการเกษตรที่มีอยู่ในชุมชน มาใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่า ไม่พึ่งพาสารเคมี หรือวัตถุดิบจากภายนอก ลดของเสีย และสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในขณะเดียวกันยังเข้ากับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) เพราะเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น การนำผลผลิตเหลือใช้มาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ลดการปล่อยของเสียกลับสู่สิ่งแวดล้อม และสร้างระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อชุมชนและธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีอยู่ของกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเสริมรายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาชุมชนสู่ความยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสอดคล้องกับวิถีชุมชนและพระพรที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
นางสาวนุชรี คำมี นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ รักษาราชการแทนเกษตรอำเภอสังขะละบุรี ได้กล่าวว่า “สำหรับการขับเคลื่อนกลุ่มนี้นะคะ ถ้าหากว่าเราขับเคลื่อนและตอบโจทย์ BCG โมเดลแล้ว เราสามารถที่จะพัฒนาต่อยอดไปสู่ SDG (Sustainable Development Goals–SDGs) นะคะ ซึ่ง SDG ก็คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือที่เรียกว่า sustainable development goal จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 17 ด้าน ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารนี้ จะตอบโจทย์ทั้งหมด 4 ด้าน ก็คือด้านที่ 1) ด้านการขจัดความยากจน ด้านที่ 2) เป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้านที่ 8) เป็นการสร้างความเติบโตด้านเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืน และอย่างสุดท้ายคือด้านที่ 12) จะเป็นด้านการสร้างหลักประกัน ให้มีแบบแผน ทางด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนค่ะ”
เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เมื่อกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคริสตจักรสังขละบุรี ได้รับรางวัลชนะเลิศ “สิงห์ทอง” สำหรับกลุ่ม/องค์กรชุมชนแกนหลักสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้านดีเด่นระดับจังหวัด (ตามประกาศจังหวัดกาญจนบุรี ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2568) และในอนาคต กลุ่มวิสาหกิจชุมชนนี้ มีแผนที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และในด้านการขยายตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นสูตรใหม่ ๆ จากวัตถุดิบในชุมชน การปรับรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย หรือการยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ได้คุณภาพตามเกณฑ์ อย. เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และพร้อมวางจำหน่ายในตลาดที่กว้างขึ้น ทั้งในระดับจังหวัด ระดับประเทศ และช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นแนวทางที่กลุ่มตั้งใจเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนต่อไป
ว่าที่ร้อยเอกวีระ สมพงษ์ สำนักงานพัฒนาชุมชน อ. สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้กล่าวถึงแผนการที่จะต่อยอด พัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารคริสตจักรสังขละบุรีไว้ดังนี้ “สิ่งที่วางไว้ในอนาคตก็คือ อยากให้กลุ่มผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น ในแง่ของจำนวนยอดจำหน่ายต่อปี สองก็คือมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เราก็จะมองดูว่ามีพืชผักอะไร ที่เป็นพืชผักพื้นถิ่น แล้วมีคนปลูกจำนวนมาก เราก็จะนำผักชนิดนั้นมาแปรรูป เพื่อที่จะให้คนในชุมชนสามารถมีรายได้จากการปลูกผัก แล้วก็เก็บผักในสวนครัวหลังบ้านของตัวเอง มาจำหน่ายให้กับกลุ่มแล้วเกิดเป็นรายได้”
ศาสนาจารย์โยฮัน ดำรงพนาวัลย์ ศิษยาภิบาลคริสตจักรสังขละบุรี ได้กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ สิ่งนี้คือภูมิปัญญาของพวกเรา ที่เรามีอยู่ ที่เรามีอยู่แล้ว แล้วก็อยากจะให้ทุกคนเห็นความสำคัญ โดยเฉพาะเยาวชน อยากจะให้เยาวชนสนใจเรื่องเหล่านี้ แล้วก็สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของพวกเรา ให้เกิดเป็นรายได้ให้กับคนในชุมชนต่อไปนะครับ สำหรับกลุ่มอื่น ๆ ที่อยากจะเริ่มต้นทำ เราก็ต้องตั้งใจ และอดทน เพราะว่าเราจะเจอกับปัญหา อุปสรรคหลายอย่าง แต่ว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว แล้วก็ตั้งใจที่จะทำ คิดว่าทุกที่ก็สามารถทำได้นะครับ ถ้าเราทำได้ ทุกที่ก็ทำได้ครับ”
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของคำว่า “ศรัทธา” คริสตจักรสังขละบุรี ได้จุดประกายให้เกิดกระบวนการพัฒนาที่หยั่งรากลึกในชุมชน ผ่านการระดมทรัพยากรท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ และการสร้างพื้นที่ให้สมาชิกในคริสตจักรได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเวลา แรงงาน ทักษะ หรือแนวคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มวิสาหกิจแปรรูปอาหาร แต่คือการก่อรูปของ “การพัฒนาโดยชุมชน เพื่อชุมชน” ที่เต็มไปด้วยพลัง ความร่วมมือ และเป้าหมายร่วมกัน รายได้เสริม ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น และตลาดที่ค่อย ๆ ขยายตัว คือผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากความเชื่อเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเล็กเลยในมิติเชิงพัฒนา เพราะศรัทธาเมื่อหลอมรวมกับการลงมือทำอย่างเป็นระบบ พร้อมประสานงานกับเครือข่าย ย่อมสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คน และพาชุมชนไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
หมายเหตุ: การระดมทรัพยากรในท้องถิ่น (Local Resource Mobilization) คือกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ชุมชน หรือพื้นที่หนึ่ง ๆ ดึงเอาทรัพยากรที่มีอยู่ภายในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน วัสดุอุปกรณ์ แรงงาน ความรู้ หรือความร่วมมือจากคนในชุมชน เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนา แก้ไขปัญหา และสร้างความยั่งยืนให้แก่ท้องถิ่น ซึ่งองค์ประกอบของทรัพยากรในท้องถิ่นที่มักถูกระดมเพื่อใช้ในการพัฒนา ที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืน ได้แก่
โดยจุดประสงค์ของการระดมทรัพยากรในท้องถิ่น ได้แก่
จะเห็นได้ว่า เมื่อชุมชนสามารถระดมและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดความยั่งยืนในระยะยาว และสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองอย่างเข้มแข็ง
57/7 ซอย 3 ถนนทุ่งโฮเต็ล ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50000
โทรศัพท์ : 053 266 426 ถึง 9
Email : cithpr@gmail.com