เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
มูลนิธิดรุณาทรตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน ขยะล้นเมือง มลพิษทางอากาศและน้ำ ตลอดจนการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกช่วงวัย และจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาโลกซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า
ด้วยความเชื่อในบทบาทของเยาวชนในฐานะผู้เปลี่ยนแปลงสังคม มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำแคมเปญ“เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) ขึ้น เพื่อส่งเสริมคริสตจักรและเยาวชนในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือของคริสตจักรคู่มิตรและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้มั่นใจถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อมในระยะยาวและความสามารถในการฟื้นตัวของชุมชน โดยมีกิจกรรมเพื่อปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มเยาวชนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมบทบาทเยาวชนผู้นำผู้มีจิตสำนึกต่อสังคม รวมทั้งการตอบสนองต่อพันธกิจฝ่ายวิญญาณ ในฐานะผู้ดูแลสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าด้วย
แคมเปญนี้ มุ่งเน้นการให้ความรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ การลงมือทำผ่านกิจกรรมและแผนปฏิบัติการที่คิดโดยกลุ่มเยาวชน เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ การหนุนเสริม และการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมในคริสตจักรและชุมชนของตนอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการตอบสนองปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมของตนเอง
แคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) เป็นกิจกรรมหนึ่งในกระบวนการพัฒนาเด็กและเยาวชนแบบองค์รวม (Holistic Development Program) ที่ช่วยพัฒนาเยาวชนได้เติบโตทั้งในด้านการเรียนรู้ ทักษะทางสังคม อารมณ์ สุขภาพ และจริยธรรม
ในปี 2022-2024 มูลนิธิดรุณาทรร่วมกับคริสตจักรคู่มิตรและองค์กรเครือข่ายได้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) มาอย่างต่อเนื่อง โดยมี
หลังจากงานนิทรรศการ จึงเกิดการขับเคลื่อนแคมเปญในเฟสที่สอง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2024-พฤษภาคม 2025 เป็นระยะเวลา 8 เดือน สำหรับกลุ่มคริสตจักรใหม่ที่สนใจ 9 คริสตจักร ให้ได้รับการโค้ชฝึกอบรมในพื้นที่, ปฏิบัติการ รวมทั้งหนุนเสริมคริสตจักรแกนนำกลุ่มแรก 10 คริสตจักรให้มีการสานต่อแผนงานเพื่อยกระดับการทำกสิกรรมธรรมชาติในพื้นที่ของตนเอง ให้สามารถต่อยอดไปสู่เศรษฐกิจครัวเรือน ที่เน้นการให้ครอบครัวมีส่วนร่วมมากขึ้น และการนำทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวต่อไป
สำหรับการลงพื้นที่สนับสนุน ติดตามผลแกนนำ 10 คริสตจักรขับเคลื่อนความมั่นคงและอาหารและน้ำและการตอบสนองวิกฤตสิ่งแวดล้อม (ดร.ตฤณธวัช ธุระวร) เฟส 1 ในช่วงเดือนกันยายน 2023 – มิถุนายน 2024 ระยะเวลา 10 เดือน แบ่งเป็น 5 กลุ่มตามพื้นที่ ได้แก่ บุรีรัมย์ 2 คริสตจักร, สะเมิงบ่อแก้ว 3 คริสตจักร, แม่แจ่มแม่ลาน้อย 1 คริสตจักร, อมก๋อย 2 คริสตจักร, เชียงราย 1 คริสตจักร
ผลการสำรวจตั้งแต่กันยายน 2023 – มิถุนายน 2024 พบว่า
ในปี 2024 แคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) เฟส 2 ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด 3 ประการหลัก ได้แก่
การอบรมภายใต้แคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Youth and Creation Care)” ดำเนินงานโดยยึดแนวทางที่บูรณาการทั้ง “ความรู้” และ “คุณธรรม” เข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำความรู้จากพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นพื้นฐานผ่านแนวคิดของ Eden Model (เอเดนโมเดล) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทรงสร้าง และพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ให้มนุษย์มีหน้าที่ดูแลโลกและธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง
โดยมีพื้นฐานจากพระธรรม ปฐมกาล 2:15 ที่กล่าวว่า “พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน” โดยแนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่า การดูแลรักษาธรรมชาติไม่ใช่เพียงภารกิจของมนุษย์ในเชิงสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็น พันธกิจฝ่ายจิตวิญญาณ ที่เราได้ตอบสนองต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและทุกสิ่งอย่างมีเป้าหมาย ดังนั้น การเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้เชิงวิชาการหรือฝึกทักษะเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังถือเป็น “การรับใช้พระเจ้า” ผ่านการดูแลธรรมชาติ และสร้างความเปลี่ยนแปลงในตนเอง ครอบครัว และชุมชนอีกด้วย
โดยมีเป้าหมายให้ผู้เข้าอบรมสามารถ ออกแบบพื้นที่ชีวิตของตนเอง และนำสิ่งที่ได้รับไปขยายผลสู่ครอบครัว ชุมชน และสังคมในวงกว้าง
มีเยาวชนและเจ้าหน้าที่โครงการร่วมอบรมทั้งหมดจำนวน 201 คน แบ่งเป็นชายจำนวน 100 คน หญิงจำนวน 101 คน ดังนี้
ในการดำเนินการอบรม ได้มีการขยายผลต่อยอดจากคริสตจักรต่าง ๆ ไปยังชุมชน ดังนี้
ในการดำเนินงานแคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ได้ร่วมมือกับเครือข่ายความร่วมมือ ได้แก่
การต่อยอดในอนาคตของผู้ที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ มีแนวทางที่จะสานต่อและขยายผลโครงการ ดังนี้
เบธาเนียโมเดล เริ่มต้นขึ้นจากการที่ผู้นำ เยาวชน และพี่เลี้ยงคริสตจักรเบธาเนีย ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ได้ร่วมอบรมในแคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) และได้นำแนวความคิดเรื่องการจัดการขยะและการดูแลสิ่งแวดล้อมมาทำแผนร่วมกันในคริสตจักร โดยเชื่อมโยงมาจากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน จนมีขยะล้นจุดทิ้งขยะในหมู่บ้าน และทาง อบต.ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในแต่ละปี เพื่อจัดการกับขยะ ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรเบธาเนียจึงได้ทำเบธาเนียโมเดลขึ้นมา โดยเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
นายบาร์มี่ นะซอ ผู้จัดการโครงการพัฒนาเด็กคริสตจักรเบธาเนีย ได้กล่าวถึงโครงการดังกล่าวนี้ว่า
“หลังจากอบรมโครงการเยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลับมา เราก็เริ่มต้นที่จะคุยกันว่าเราจะต่อยอดจากสิ่งที่เรียนรู้ยังไงได้บ้างให้เป็นรูปธรรม ก็เลยมองไปที่ปัญหาใหญ่ ๆ ในชุมชนของเรา คือเรื่องขยะ จริง ๆ ทางหมู่บ้านได้กำหนดพื้นที่ให้ทิ้งขยะอยู่แล้ว แต่พอขยะมากขึ้น พื้นที่ตรงนั้นก็เริ่มไม่พอ ก็เริ่มมีการทิ้งขยะแบบไม่เป็นที่เป็นทาง ทาง อบต. ก็ใช้เงินเยอะมากในการช่วยกำจัดขยะตรงนี้ เราก็เลยทำเบธาเนียโมเดลขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องขยะร่วมกับทาง อบต. และต่อด้วยการตลาดสีเขียว เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเล็ก ๆ ในชุมชน ให้คนหันมาดูแลสุขภาพด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว ที่นอกจากกินแล้ว ยังนำมาขายได้อีกด้วย”
ในปัจจุบัน ปัญหาขยะในชุมชนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งขยะจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ใบไม้แห้ง กิ่งไม้ หรือขยะทั่วไป อาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค หรือก่อให้เกิดมลพิษหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี
หนึ่งในแนวทางที่หมู่บ้านของเราได้เลือกใช้คือ การนำเตาเผาชีวมวล มาใช้ในการกำจัดขยะภายในชุมชน ซึ่งเตาชนิดนี้มีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของ การลดควัน และลดค่าฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเตาเผาชีวมวลที่นำมาใช้นั้น เป็นเตาที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถเผาขยะได้ในปริมาณมาก ภายในเวลาอันสั้น โดยสามารถเผาขยะได้ถึง 200 กิโลกรัมภายใน 15-30 นาที อุณหภูมิภายในเตาอยู่ที่ประมาณ 400 องศาเซลเซียส ซึ่งเพียงพอสำหรับการเผาไหม้ขยะอย่างสมบูรณ์
อบรมหลักสูตร 7 กระบุงโมเดล
(3 คืน 4 วัน) จำนวน 2 รุ่น
โซนแม่ตื่น (ห้วยน้ำขาว-ซิแบร-วะโซทะ)
10 แกนนำต้นแบบ
– การออกแบบพื้นที่ชีวิตและการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ตนเอง
– การดูแลเชื่อมโยงคุณค่าป่าชุมชน/ป่าต้นน้ำสร้างมูลค่า (ตามบริบท)
อบรมตามความสนใจ
(ตลาดวิชา 4 วิชา 2 คืน 3 วัน)
45 ครอบครัวเยาวชนต้นแบบ
– สวนครัวหลังบ้าน/สวนเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง การต่อยอดสู่เศรษฐกิจครัวเรือน สานสัมพันธ์ครอบครัว
– พื้นที่ต้นแบบ/ศูนย์เรียนรู้
– การดูแลเชื่อมโยงคุณค่าป่าชุมชน/ป่าต้นน้ำสร้างมูลค่า (ตามบริบท)
หลักการทำงานของเตาเผา จะใช้วิธีการจุดไฟจากด้านบนของเตา เพื่อให้เกิดแรงดึงอากาศจากด้านล่างเข้าสู่เตา ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดควัน ยังช่วยควบคุมทิศทางของอากาศที่ไหลเวียน ทำให้มลภาวะทางอากาศลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือ การใช้เตาเผาชีวมวลนี้ ยังเป็นการ จัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ลดการสะสมของสารพิษที่อาจซึมลงสู่ดินที่ใช้เพาะปลูก หรือไหลลงแหล่งน้ำในพื้นที่ ส่งผลดีต่อสุขภาพของคนในชุมชน และสิ่งแวดล้อมโดยรวม
นายธงชัย พนาคีรีราษฎร์ สมาชิก อบต. หมู่ 1 ต.บ่อแก้ว ได้กล่าวถึงเรื่องการจัดการขยะว่า “อบต. มีงบประมาณในการจัดเก็บขยะในชุมชน เข้าร่วมโครงการ 5 หมู่บ้าน งบประมาณจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาท แต่เมื่อทำโครงการนี้ ก็มีผลที่ดีขึ้นเพราะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ค่าขยะก็ประหยัดไปได้ประมาณ 8 หมื่นบาทเลยทีเดียว นอกจากนั้น เรายังมีกิจกรรม “ชุมชนสะอาด สู่ อบต. สะอาดตา” ซึ่งเห็นเลยว่าหมู่บ้านต่าง ๆ ได้ร่วมใจกันรักษาความสะอาดได้ดีขึ้นมาก ทำให้ชุมชนสะอาดขึ้นตามมา”
เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ และลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นในชุมชน โครงการคัดแยกขยะ ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงคัดแยกขยะ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การลดขยะที่ต้นทาง พร้อมทั้งส่งเสริมแนวทางการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพผ่าน หลัก 3R ได้แก่
ในกระบวนการนี้ โครงการยังได้จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการสอนให้แยกขยะที่บ้าน เช่น การแยกกระดาษ ขวด หรือวัสดุรีไซเคิลอื่น ๆ ซึ่งสามารถนำมาขายต่อได้ สร้างทั้งรายได้ และเป็นการลดปริมาณขยะที่เข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการ “ตลาดสีเขียว” ที่เกิดขึ้นในชุมชนของเรา เริ่มต้นจากการที่เยาวชนในคริสตจักรได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Youth and Creation Care “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการแล้ว ทั้งเยาวชนและผู้นำในคริสตจักร ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนถึงการดูแลโลกและชุมชนไปพร้อมกัน จึงเกิดเป็นแนวคิดในการเปิด “พื้นที่สีเขียว” สำหรับชุมชน ที่ไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังสอดคล้องกับวิถีชีวิต เรียบง่าย พอเพียง และแบ่งปันซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ “ตลาดสีเขียว” ภายใต้เบธาเนีย โมเดล ของคริสตจักรเบธาเนีย อ.บ่อแก้ว จ.เชียงใหม่ จึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น “พื้นที่แห่งชีวิตและการดูแล” ที่พี่น้องในชุมชนจะสามารถนำ ผลผลิตจากสวน
จุดเด่นของตลาดสีเขียว มีดังต่อไปนี้
ดร. ตฤณธวัช ธุระวร ที่ปรึกษาแคมเปญ“เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care) ได้กล่าวถึงที่มาและความจำเป็นในการขับเคลื่อนเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนี้
“ ในยามวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ที่จริงแล้วในพระคัมภีร์ก็ได้บอกเราล่วงหน้าแล้วนะครับ ไม่ได้หมายความว่าให้เราฟังแล้วให้เราตระหนก แต่ให้เราตระหนัก ให้เราที่จะลุกขึ้นมาเตรียมตัวเอง พระเจ้าได้ให้หน้าที่กับเราตั้งแต่ต้นแล้ว คือให้เราดูแลสิ่งทรงสร้างของพระองค์ เรารู้อยู่ว่าในยุคนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ภาวะโลกเดือด โลกรวน ที่ UN บอกว่าจะเกิดภัยพิบัติเฉลี่ยวันละ 2-5 ครั้ง แต่ผมว่ามันไม่ใช่แล้วนะครับ ที่ผมเช็คดูวันหนึ่งรอบโลก มันเกิดภัยพิบัติมากกว่า 10 ครั้ง แล้วมันเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราอยากจะอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบัน พระเยซูคริสต์ก็บอกว่า ถ้าวันที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้เราหนีไปยังถิ่นทุรกันดารหรือหนีไปยังภูเขา นี่สะท้อนภาพของเอเดน ที่ภูเขามีอะไร มันมีดินน้ำป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีอากาศที่ดี มีอาหารที่ดีแล้วก็มียารักษาโรคด้วย พื้นที่ของเราให้มีดินน้ำป่าที่อุดมสมบูรณ์นะครับ เพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับเรา มีอากาศที่ดีแล้วก็มียารักษาโรค แล้วสิ่งเหล่านี้เราสามารถที่จะต่อยอดออกไป ให้เป็นทั้งเรื่องของเศรษฐกิจรายได้ ในเรื่องของความมั่นคงของครอบครัวเอง แล้วก็สามารถที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้นะครับ ผ่านทางการให้ มีการสร้างเครือข่ายที่มีการรักกัน มีสังคมแห่งการเอื้ออาทรและการให้ซึ่งกันและกัน มีความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ที่ดี มีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า อันนั้นคือเอเดนครับ”
นางสาวอุบลวรรณ แก้วนุ่ม อาสาสมัครมูลนิธิพึ่งตนเพื่อชาติ และโครงการอารยธาม ในฐานะองค์กรเครือข่ายความร่วมมือ ที่มีแนวคิดเดียวกันในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า
“ตอนนี้วิกฤตของเราก็คือสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เราก็เลยทำโครงการที่มีชื่อว่าอารยธาม(arayatime) เราคาดหวังว่าอารยธามเนี่ย จะสามารถสร้างชุมชนและสังคมแห่งการพึ่งตนเองได้และแบ่งปัน ส่วนในเรื่องของกสิกรรมธรรมชาติ เราก็ให้การสนับสนุนในแง่ของการขุดเตรียมพื้นที่ก่อน ให้เขาออกแบบพื้นที่ ซึ่งเจ้าของแปลงจะต้องมาเรียนรู้และอบรมกับเรา และเขาต้องน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไนหลวงรัชกาลที่ 9 ไปใช้ในชีวิตของเขาให้ได้ ข้อ 2 ก็คือจะต้องเรียนรู้หลักกสิกรรมธรรมชาติ แล้วเราก็ลงทุนขุดให้เขา ตามที่เขาออกแบบ แล้วก็พาเพื่อน ๆ ไปเอามื้อกัน แล้วหลังจากนั้นจะมีการเปิดอบรมให้ความรู้ตามวิถีของเขา เพื่อที่เขาจะได้ออกไปขับเคลื่อนชุมชนของเขาในแต่ละพื้นที่”
เชฟทิเบต ทองเสเทื้อน เจ้าของร้าน Fisherman Café หนึ่งในเครือข่ายที่ได้เข้ามาให้ความรู้แก่ผู้เข้าอบรม ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตในท้องถิ่นให้กลายเป็นอาหารขึ้นชื่อได้ ได้กล่าวว่า
“ สิ่งที่ค้นพบในท้องถิ่นมีเยอะ อย่างเช่นมัน อย่างบ้านบนดอยของ ดร.ชิ มีตั้ง 30-40 สายพันธุ์ ซึ่งผมเองก็ใช้ไม่กี่สายพันธุ์ ผมก็ได้ชิมแล้ว รสชาติมันน่าตื่นเต้น มันวาวมาก ผมก็เลยบอก ดร.ชิ มันสามารถเป็น chef’s table ได้นะ น่าจะเป็นอีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หหรือธุรกิจในอนาคตได้จากของธรรมดา ๆ พื้นบ้าน สู่ความเลอค่าบนโต๊ะอาหารได้ครับ”
เพชร เยาวชนคริสตจักรเยาวราษฏร์ ผู้มีความฝันที่อยากจะมีสวนเพื่อการเรียนรู้เรื่องกสิกรรมธรรมชาติในชุมชน ได้พูดถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่สวนของตนโดยใช้หลักกสิกรรมธรรมชาติว่า
“ แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมสนใจในเรื่องของกสิกรรมธรรมชาติกับเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ ผมได้เห็นแบบอย่างของไนหลวงท่านครับ ที่ท่านได้เสียสละแรงกาย แรงใจแล้วก็เวลานะครับ เพื่อที่จะปลูกฝังประชาชนชาวไทยอย่างพวกเราในเรื่องของการพึ่งพาตัวเอง แล้วก็ในรื่องของการแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นผ่านทางกสิกรรมธรรมชาติ แรงบันดาลใจที่ 2 คือเรื่องอาหารปลอดภัยและเรื่องภัยพิบัติ ตอนที่เกิดวิกฤติในเรื่องภัยพิบัติ เราเห็นว่าอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการที่ทำให้คนอยู่รอดในช่วงของภัยพิบัติ เพราะเราจะเห็นว่าในช่วงเวลานั้นมีการขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม เพราะฉะนั้นในช่วงที่เรามีคลังอาหารที่ปลอดภัย สะอาด และมีน้ำดื่มที่ปลอดภัย ก็สามารถทำให้เราอยู่ในช่วงภัยพิบัติได้อย่างปลอดภัย ผมมีความตั้งใจ มีแนวคิดว่าอยากทำให้มันเป็นสวน และเป็นศูนย์การเรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติอย่างเต็มรูปแบบ
เพื่อที่เราจะผลักดันให้คนรุ่นใหม่ เยาวชน ที่อยากจะกลับมาอยู่บ้านเกิดแต่ยังไม่รู้ว่าพื้นที่ที่ตัวเองอยู่นั้น สามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง และสามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่จากเกษตรเชิงเดี่ยว สู่การผสมผสานเกษตรเข้าด้วยกัน อย่างกสิกรรมธรรมชาติ ในการดูแลระบบนิเวศแล้วก็การทำเกษตรยั่งยืนแบบปลอดสารเคมี”
ศาสนาจารย์ทรงศักดิ์ เสดวงชัยและนายภูษิต เสดวงชัย ศิษยาภิบาลคริสตจักรสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี พ่อ-ลูกสายพัฒนาชุมชน หนึ่งในครอบครัวที่ได้เข้าร่วมการอบรมเรื่องกสิกรรมธรรมชาติ ได้พูดถึงความตั้งใจที่จะนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาพื้นที่ในคริสตจักร ดังนี้
“ มาเรียนรู้ที่นี่เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้รับ กลับไปพัฒนาในที่ดินโครงการเรา เราจะทำให้เป็นต้นแบบสำหรับสมาชิกคริสตจักรด้วยและชุมชนด้วย เราเริ่มแล้ว แต่เราก็ต้องการองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ๆ การได้มาอบรมและทำเกษตรร่วมกับลูกชาย เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวได้คุยกันมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา ครอบครัวเราก็คุยกันน้อยมาก เพราะทุกคนก็มีภารกิจการงาน การมาครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก เรานอนด้วยกัน หยอกล้อกัน เรามีโอกาสได้คุยกันเยอะขึ้น รู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นโอกาสพิเสษ ที่ทำให้พ่อลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นครับ”
นายภูษิต เสดวงชัย เจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาเด็ก คริสตจักรสังขละบุรี ได้กล่าวเพิ่มเติม ถึงการที่จะนำความรู้ไปต่อยอดกับเยาวชน ดังนี้
“ผมทำงานกับเด็กและเยาวชน อยากจะสอน อยากปลูกฝังน้องๆ เรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ อยากให้น้อง ๆ ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง สิ่งที่ผมอยากจะนำกลับไป คือ 7 กระบุง คือการดูแลต้นน้ำ การดูแลสัตว์ทั้งหลาย ที่ผ่านมาเราอาจจะมีโอกาสได้ไปเก็บขยะที่ข้างถนน ได้เก็บขยะที่ต้นน้ำ แต่ที่มากกว่านั้นคือเราอยากให้น้อง ๆ ได้ปลูกได้หว่านเพื่อที่เขาจะได้รับผลและใช้มันในชีวิตจริง ๆ”
เช่นเดียวกับครอบครัวคุณซอติวา ยิ่งสินสัมพันธ์ ที่มาอบรมหลักกสิกรรมธรรมชาติกันทั้งครอบครัว ก็ได้รับความรู้มากมาย จนมีความคิดที่จะนำสิ่งที่ได้รับไปเริ่มต้นทำพื้นที่เกษตรเล็กๆที่บ้าน
“ที่ ๆ เราอยู่เป็นพื้นที่ที่ใช้สารเคมีเยอะ ที่ไม่ใช้เคมีไม่มีเลย เราคิดกันว่าเราจะเป็นคนเริ่มก่อน จะเริ่มต้น จะทำกับครอบครัว”
ซีนาย (ลูกชาย) ได้เข้าร่วมกิจกรรมย่ำบ่อครั้งแรก ได้พูดถึงประสบการณ์และความรู้ใหม่ที่ได้รับว่า..
“ ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องการทำบ่อดินนะครับ ได้รู้ว่าบ่อดินธรรมดาสามารถเก็บน้ำได้ ตอนแรกผมก็คิดว่าการทำบ่อจากขี้วัว ฟางแล้วก็ดิน เอามาผสมกันมันได้ด้วยเหรอ แต่พอลองเอาไปทำจริง ๆ มันก็ไม่ได้เหม็น ก็เป็นงานที่สนุกครับผม”
นางศิรินทิพย์ ยิ่งสินสัมพันธ์ (แม่) ได้พูดถึงประโยชน์ที่ได้รับทั้งในแง่ความสัมพันธ์จากการได้มาอบรมเชิงปฏิบัติการหลักการทำเกษตรผสมผสานและการจะนำไปใช้ในอนาคต ว่า
“การได้มาเวิร์คช้อปที่นี่ มันทำให้เราได้มีการพูดคุยกันมากขึ้นกว่างเดิม รู้ความคิดเห็นของกันมากขึ้น รู้ว่าอนาคตครอบครัวเราจะแพลนยังไง การกระชับความสัมพันธ์ด้วย อย่างซีนาย พี่ทิพย์ก็ไม่คิดว่าเขาจะย่ำบ่อโคลน แต่เขาก็ลงไปย่ำบ่อโคลน แล้วก็ได้ฟังมุมมองของเขามากขึ้น แล้วก็เรามีความตั้งใจที่อยากจะไปทำในที่ของเรา เป็นเหมือนพื้นที่ความมั่นคงทางอาหารเล็ก ๆ ในครอบครัว เกี่ยวกับเรื่องอาหาร”
ในส่วนของคริสตจักรสบอมแฮด อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่ได้เข้าร่วมโครงการครั้งแรก คุณสายสิริ บัณฑิตมหาศาล เจ้าหน้าที่โครงการได้เล่าถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนว่า คนในชุมชนมักทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง แต่เมื่อได้เข้าร่วมแคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ได้มีความสนใจและตั้งใจที่จะจัดการขยะในชุมชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
“จากการที่ได้ไปอบรม เราก็ได้เริ่มต้นสอนเรื่องการเก็บขยะในหมู่บ้าน และการคัดแยกขยะในครัวเรือนและในคริสตจักร ตอนนี้เด็ก ๆ กำลังจะทำโครงการขอเตาเผาชีวมวล ในส่วนเครือข่ายความร่วมมือ เราก็ได้ทำร่วมกับ อบต. และ อสม.โดยเราได้เชิญทาง อบต.มาช่วยสอนในเรื่องปัญหาสุขภาพที่เกิดจากขยะ และรณรงค์ไม่ให้ทิ้งขยะเรี่ยราดในหมู่บ้านค่ะ”
นอกจากนั้น ยังมีตัวแทนเยาวชนจากหลายคริสตจักรได้เข้าร่วมอบรมหลักกสิกรรมธรรมชาติ ตามศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียง และมีความตั้งใจที่จะนำองค์ความรู้มากมายที่ได้รับไปสานต่อในพื้นที่ของตนเอง ดังนี้
“สิ่งที่หนูประทับใจคือย่ำขี้บ่อค่ะ ก็จะนำไปต่อยอดที่บ้านนะคะ เพราะว่าที่บ้านนี่มีบ่อ แล้วก็จะเอาสมุนไพรไปปลูกเพิ่ม แล้วตั้งใจจะทำกสิกรรมธรรมชาติแบบไม่ใช้สารเคมีเลย”
อ้าย เยาวชนคริสตจักรปางมะหัน
“หนูจะนำเรื่องสมุนไพรที่ได้เรียนรู้ เอาไปบอกพ่อแม่ที่บ้าน เพื่อลดการใช้ยาจากข้างนอก แล้วมาทานสมุนไพรแทน”
มายด์ เยาวชนคริสตจักรห้วยกระทิง
“สิ่งที่จะนำกลับไปทำคือจะไปขุดคลองไส้ไก่ในพื้นที่ของตัวเองครับ เพราะว่าพื้นที่ของผมก็กว้างอยู่ แล้วจะนำความรู้เรื่องการทำปุ๋ยกลับไปทำที่บ้านครับ”
ตั้งบิล เยาวชนคริสตจักรเยาวราษฏร์
ได้นำไปขยายผล สร้างเครือข่ายการดูแลสิ่งแวดล้อม ได้เชื่อมโยงไปสู่เครือข่ายของพี่น้องระดับประเทศ เช่นเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ เครือข่ายพึ่งตนเพื่อชาติ
“ด้วยความยินดีและใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง ผมขอแสดงความขอบคุณจากใจต่อเยาวชนทุกคนและคริสตจักรทุกแห่ง ที่เปิดใจเรียนรู้และร่วมกันลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในการดูแลรักษาโลกใบนี้ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างอันประเสริฐของพระเจ้า ผ่านการมีส่วนร่วมในแคมเปญ “เยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” (Youth and Creation Care)
ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน ขยะล้นเมือง มลพิษ หรือการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ พวกท่านเลือกที่จะไม่ยืนดูเฉยๆ แต่ลุกขึ้นตอบสนองด้วยหัวใจที่อ่อนน้อมต่อพระเจ้า และด้วยมือที่พร้อมจะลงมือสร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลง นี่คือภาพสะท้อนของผู้นำแห่งความหวังอย่างแท้จริง
ผมขอชื่นชมในความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าหาญในการลงมือทำของทุกคนที่ได้ร่วมกันคิด ริเริ่ม และดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ การรณรงค์ในชุมชน หรือการวางแผนและลงมือดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตน ทุกย่างก้าวที่ท่านได้ลงแรง คือคำพยานที่มีชีวิตถึงความเชื่อ ความรัก และการตอบสนองต่อพันธกิจฝ่ายวิญญาณในฐานะผู้ดูแลสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เยาวชนไม่ใช่เพียงความหวังของอนาคต แต่คือพลังสำคัญของปัจจุบัน พวกท่านได้แสดงให้เห็นว่า คริสตจักรสามารถเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ทั้งในด้านจิตวิญญาณ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ผมและเพื่อน ๆ จากองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเดินเคียงข้างทุกท่านในเส้นทางแห่งการฟื้นฟูนี้ ขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านยืนหยัดมั่นคงทั้งในความเชื่อและการกระทำ เพราะการดูแลรักษาโลกใบนี้ คือการถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงสร้างผ่านชีวิตของท่านเอง ขอพระเจ้าอวยพระพรอย่างมากมายและเต็มเปี่ยมในทุกก้าวเดินของท่าน”
รายชื่อแกนนำกลุ่มแรก 10 คริสตจักร ได้แก่ คริสตจักรเยาวราษฎร์, คริสตจักรหนองม่วน, คริสตจักรอูตูม, คริสตจักรโนนดินแดง, คริสตจักรอิมมานูเอลปะคำ, คริสตจักรทุ่งจำเริง, คริสตจักรสบอมแฮด, คริสตจักรพระพรแม่ลาเอก, คริสตจักรเบธาเนีย, คริสตจักรแม่แฮเหนือ และแกนนำกลุ่มสอง 9 คริสตจักร ได้แก่ คริสตจักรจอปร่าคี, คริสตจักรแม่สลิดหลวง, คริสตจักรแม่เหาะ, คริสตจักรบ่อแก้ว, คริสตจักรเมืองนะ, คริสตจักรสองแคว, คริสตจักรห้วยน้ำริน, คริสตจักรทีมูโกล และคริสตจักรบ้านท่าตาฝั่ง
คริสตจักรห้วยน้ำริน, คริสตจักรเคลอะเด, คริสตจักรเชียงดาว, คริสตจักรเบธาเนีย, คริสตจักรเมืองคอง, คริสตจักรเมืองนะบ้านจองคำ, คริสตจักรเมืองฮอด, คริสตจักรเยาวราษฎร์, คริสตจักรเหว่ตลู, คริสตจักรแจ่มหลวง, คริสตจักรแบ๊พติสลาหู่บ้านปางมะหัน, คริสตจักรแม่เหาะ, คริสตจักรแม่แฮเหนือ, คริสตจักรแม่แฮใต้, คริสตจักรแม่ลายเตียนอาง, คริสตจักรแม่สลิดน้อย, คริสตจักรแม่สลิดหลวง, คริสตจักรแม่อุมโล๊ะ, คริสตจักรแห่งนิมิตน้ำซุ้ม, คริสตจักรโนนดินแดง, คริสตจักรกิโก่เด๊าะคี, คริสตจักรขุนแม่คะตวน, คริสตจักรจอปร่าคี, คริสตจักรจือทะ, คริสตจักรต่อปลาเด, คริสตจักรตะหละออกลา, คริสตจักรท่าตาฝั่ง, คริสตจักรที่ 1 แม่สอด, คริสตจักรที่ 1 ฝาง, คริสตจักรทีมูโกล, คริสตจักรทุ่งจำเริง, คริสตจักรนับพระพรกอโมทะ, คริสตจักรบ่อแก้ว, คริสตจักรบ้านเดจิคอ, คริสตจักรบ้านแม่แว, คริสตจักรบ้านแม่ลายต๋อมเต้า, คริสตจักรบ้านใหม่, คริสตจักรบ้านคำหวัน, คริสตจักรบ้านทุ่งจำเริง, คริสตจักรบ้านผาใต้เก่า, คริสตจักรบ้านสบโขง, คริสตจักรบ้านหนองเจ็ดหน่วย, คริสตจักรบ้านหนองม่วน, คริสตจักรบ้านห้วยกระทิง, คริสตจักรบ้านอรุโณทัย, คริสตจักรบ้านอีวีโจ, คริสตจักรป่าเกี๊ยะน้อย, คริสตจักรพญาไพร, คริสตจักรพระพรแม่ลาเอก, คริสตจักรพอนอถ่า, คริสตจักรวรกาย, คริสตจักรสบโขง, คริสตจักรสบอมแฮด, คริสตจักรส้มป่อย, คริสตจักรสมานสามัคคีเมืองสุโขทัย, คริสตจักรสมานสามัคคีบ้านห้วยกระทิง, คริสตจักรสองแควน่าน, คริสตจักรสัมพันธ์บ้านละอูบ, คริสตจักรหนองเขียวโบสถ์, คริสตจักรห้วยน้ำริน, คริสตจักรอิมมานูเอลปะคำ, คริสตจักรอุ้มผาง, คริสตจักรอูตูม
รายงานแคมเปญ YCC // มิถุนายน 2025
57/7 ซอย 3 ถนนทุ่งโฮเต็ล ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50000
โทรศัพท์ : 053 266 426 ถึง 9
โทรสาร : 053 240 442
Email : cithpr@gmail.com