งานนี้ถือเป็นการขยายผลวิธีอารยะ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้กับเยาวชนในการพึ่งพาตนเองด้วยวิถีธรรมชาติตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เรียนรู้เรื่องการรักษาดิน น้ำ ป่า การฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น รวมถึงการค้นหาและสืบทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษให้คงอยู่ เป็นการกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ผ่านการปฏิบัติและลงมือทำร่วมกัน เพราะการจะขับเคลื่อนวิถีนี้ให้ไปได้ไกลในระยะยาวและขยายวงกว้างขึ้น เราจำเป็นต้องมีแรงหนุนจากเยาวชนรุ่นใหม่มาเป็นผู้ขับเคลื่อน ยิ่งหากเยาวชนสามารถรวมกลุ่มแกนนำ ช่วยกันทำพื้นที่ต้นแบบภายในชุมชน ร่วมกันขับเคลื่อนทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ เชื่อมรอยชุมชนให้หันมาสนใจในวิถีอารยะ ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว ที่จะส่งผลดีต่อทั้งตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมในองค์รวมมากขึ้นแล้ว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกันของคนในชุมชนและต่างชุมชน ก็จะสามารถขยายผลออกไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
พวกเราตัดสินใจจอดรถไว้ด้านล่างเมื่อมาถึง ด้วยทางขึ้นม่อนฮักมีความสูงชัน แคบ โค้งหักศอก ผู้ไม่คุ้นชินทางไม่มีใครสักคนกล้าขับรถขึ้นนอกจากเจ้าของพื้นที่ เมื่อก้าวเท้าลงจากรถ มองไปตามถนน ด้านซ้ายมือจะมองเห็นหุบเขาที่มีทุ่งนาเขียวขจี ฉากหลังเป็นภูเขาสีเขียวตระหง่านอลังการตา ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติอยู่มาก ส่วนด้านขวามองไปเป็นทางขึ้นสู่ม่อนฮัก พื้นดินลูกรังสีแดง แคบและมีหลุมบ่อขนาดใหญ่ทั่วบริเวณ แตกระแหงจากแดดระอุช่วงเที่ยงวัน พวกเราค่อยๆ เดินเท้าผ่านทางสูงชันนี้เข้าสู่พื้นที่เขียวชอุ่มของม่อนฮัก ซึ่งเต็มไปด้วยพันธ์ไม้ต่างๆ รวมถึงสมุนไพรหลากชนิด
วันแรกดร. ชิ เล่าถึงที่มาที่ไปของชื่อศูนย์ฯ ทำไมต้อง “7 กระบุงโมเดล ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พอเพียงวิถีชาติพันธุ์”
ในตำนานของบรรพบุรุษชาวปกาเกอะญอ บอกเล่าไว้ว่า จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน ผู้คนจะเริ่มหลงลืมวิถีชีวิตที่เคยเป็นอยู่ หลงลืมความรู้ที่บรรพบุรุษเคยสร้างไว้ หลงลืมรากเหง้าตนเอง และวิถีดั้งเดิมนี้จะถูกทำลายหากผู้คนในหมู่บ้านไม่ช่วยกันรักษาไว้
หลังพ่อเสียชีวิต ดร. ชิผู้เคยหันหลังให้กับวิถีนี้ ได้กลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่พ่อเคยพร่ำสอนไว้อีกครั้ง เขาตระหนักได้และเข้าใจแล้วว่า การกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ การพึ่งพาตนเองได้ จะทำให้ตัวเขาอยู่รอด ขณะเดียวกันก็สามารถเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย เขาจึงหันกลับมาสนใจ มุ่งมั่น พัฒนาพื้นที่ตนเอง สู่วิถีดั้งเดิมที่พ่อแม่เคยปูทางไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามอนุรักษ์พันธ์ุมันไว้มากกว่า 30 ชนิด “เราต้องยึดพืชพรรณไว้ให้มั่น เพื่อความมั่นคงทางอาหาร และการอยู่รอดของพวกเรา”
“7 กระบุงโมเดลที่ว่า หมายถึงพืชพรรณ 7 ประเภทที่ต้องมีปลูกไว้ในพื้นที่ ได้แก่ ข้าว เผือก มัน พืชผักสวนครัว ธัญพืช ผลไม้ และไม้ประดับ ถ้ามีครบทั้ง 7 อย่างนี้ แน่นอนว่าความมั่งคั่งก็จะกลับมาที่กิ่วดอยตอนบ่ายๆ ”

หลังอธิบายเสร็จ ดร. ชิ แบ่งกลุ่มเยาวชนออกเป็น 2 กลุ่ม ชวนมาช่วยกันปลูกพืชเหล่านี้ ไล่ลงไปตามทางลาดชัน ตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก ในการปลูกเราต้องรู้จักสังเกตแสง รู้ว่าพืชแบบไหนต้องการแสงแบบไหน เพื่อให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี เยาวชนจากชุมชนต่างๆ เริ่มพูดคุย ช่วยกันแบ่งคนแบ่งงาน ทยอยขุด ปลูก กลบ ห่มฟาง จนแล้วเสร็จภายในไม่ถึง 2 ชม.

จากนั้นจึงเริ่มเดินเท้าไปยังสวนแสงเพชร ของสุรยุทธ์ ผึ่งผดุง หรือ เพชร เยาวชนรุ่นแรกที่ดร. ชิ ได้เข้าไปให้ความรู้ เพชรต้องการทำพื้นที่ตัวเองเป็นพื้นที่ต้นแบบให้กับคนในชุมชนรอบข้าง เพราะเชื่อว่าการทำพื้นที่ให้เห็นเป็นรูปธรรม จะทำให้ชาวบ้านเห็นและเชื่อถือมากกว่าคำพูด พวกเราใช้เวลาเดินประมาณ 1 กม. ค่อยๆ เดินลงดอยที่ลาดชัน ตัดผ่านทุ่งนาเขียวขจี มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีเข้ม ประดับด้วยปุยเมฆสีขาวเล็ก ใหญ่ ทั่วบริเวณ

ระหว่างทางเยาวชนจากห้วยขม (ทีตัส พงษ์ ต้นกล้า นู่ ตั้งบิว และเบส เยาวชนที่สนใจวิถีพึ่งตน และเข้ามาเรียนรู้กับเพชรได้สักระยะหนึ่งแล้ว) ซึ่งมาร่วมเรียนรู้และเป็นไกด์นำทางให้กลุ่มผู้อบรมในครั้งนี้ ก็เริ่มชี้นู่นอวดนี่ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ดู “นั่นทุ่งนาของผม” “นี่บ้านผมเอง อยากชิมมะปรางหรอครับ เด็ดจากต้นได้เลยครับ” แววตาที่สดใส มุ่งมั่น ดูมีความสุขของเด็กๆ ห้วยขมเหล่านี้ ทำให้มองเห็นความหวังที่จะฝากไว้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ความหวังที่จะเห็นพวกเขากลายเป็นชุมชนคนต้นแบบ เป็นแกนนำในการดูแลธรรมชาติ ขับเคลื่อนวิถีพึ่งตน ดูแลรักษาดิน น้ำ ป่า ใช้ชีวิตแบบวิถีอารยะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละคนแต่ละพื้นที่ และเชื่อมร้อยเข้ากันอย่างลงตัว อย่างน้อยเราก็ดีใจที่ยังมีเยาวชนรุ่นใหม่ ที่รักและหวงแหนในธรรมชาติรอบตัวที่พวกเขาได้สัมผัส พึ่งพาอาศัย ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายที่มีอยู่รายล้อม และพยายามจะช่วยกันฟื้นฟูให้ธรรมชาติที่ดีกลับมาอีกครั้ง และถึงจะเป็นเยาวชนแค่จำนวนหยิบมือหนึ่ง แต่ก็นับเป็นความหวังน้อยๆ ที่น่ายินดียิ่ง

ที่สวนแสงเพชร เยาวชนได้ทำกิจกรรมกลุ่ม เรียนรู้การทำปุ๋ยน้ำ การขุดคลองไส้ไก่เพื่อกระจายน้ำภายในพื้นที่ การทำฝายชะลอน้ำในจุดที่น้ำมาเร็ว เพื่อลดแรงปะทะของน้ำบริเวณคลองไส้ไก่ และการย้ำขี้เสริมฟางในหนอง เพื่อให้หนองสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ เพชรเองก็ได้ส่งต่อความคิด ความรู้เหล่านี้ไปยังเยาวชนรุ่นที่ 2 จากห้วยขม หากเยาวชนกลุ่มนี้ร่วมใจกันจริง ช่วยกันขับเคลื่อนและขยายผลออกไปในวงที่กว้างขึ้น ความมั่นคงทางอาหาร อาหารดี อากาศดี สุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี ก็คงกลับมาได้ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่างน้อยสิ่งที่มีอยู่จะไม่ถูกทำลายมากไปกว่านี้ และช่วยกันสร้างที่สิ่งที่กำลังจะสูญหายไปให้กลับคืนมามากขึ้น

กิจกรรมเอามื้อเอามันวันถัดมา แต่ละชุมชนได้โจทย์ให้ไปขุดหาวัตถุดิบภายในศูนย์ฯ และคิดรังสรรค์เมนูอาหารในสไตล์ชาติพันธุ์ของตนมาจัดแสดงโชว์กัน วัตถุดิบหลักที่ว่านั้นก็คือ “หัวมัน” ซึ่งดร. ชิ ปลูกอนุรักษ์ไว้ภายในศูนย์ฯ มากกว่า 30 สายพันธุ์นั่นเอง เมื่อขุดมันกันมาได้เพียงพอแล้ว แต่ละชุมชนก็เริ่มปรุงเมนูอาหารกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนำเสนออาหารชนเผ่าของตนให้เพื่อนๆ ได้ลิ้มลอง
ปางมะหัน ทำซุปไก่ดำมันอ้อน รสกลมกล่อม และน้ำพริกกะเหรี่ยง รสจัดจ้านอร่อยปาก ที่ชาวลาหู่ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเมนูประจำมื้อที่จะขาดไม่ได้ ตบท้ายด้วยของหวาน คือ มันห้านาทีนึ่งราดน้ำผึ้ง อร่อยสมฝีมือ

เวียร์คาดี้ ทำแกงมันม่วงปลารมควัน ผักสมุนไพร รสชาติถูกปากคล้ายต้มโคล้งบ้านเรา

สะเมิงทำของหวานเป็นข้าวเหนียวมูลมันราดกะทิ เข้มข้นถึงใจคนชอบกะทิมาก

พะกอยวา ทำเมนูมันทอด เพราะนึกถึงสมัยที่ยังไม่มีของกินเล่น พ่อแม่จะเอามันมาฝานเป็นชิ้นบางๆ ทอดกับน้ำมันหมู โรยเกลือให้มีรสชาตินิดหน่อย สำหรับกินเล่นเป็นของคบเคี้ยว น้องๆ เยาวชนยังบอกอีกว่า ถ้าเอามันนี้จิ้มกับน้ำพริกคั่วดำ จะอร่อยล้ำเป็นอาหารคาวรสดีเลยทีเดียว เสียดายครั้งนี้ไม่มีน้ำพริกให้ได้ลิ้มลอง

ส่วนเชฟทิเบต ที่ดร. ชิเชิญมา ร่วมกันกับชาวอารยธาม ทำเมนูไก่อบฟางราสซอสลิ้นจี่ป่า ไก่นำไปอบจนได้ที่เลาะกระดูกออก นำผักสลัดมาตกแต่งบนจาน วางไก่อบราดด้วยซอสลิ้นจี่ป่ารสหวานอมเปรี้ยว ประดับด้วยดอกไม้กินได้ที่หาได้ภายในพื้นที่ เป็นการเพิ่มสีสันและความสวยงามของจานอาหารให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ยกระดับอาหารพื้นบ้านธรรมดาให้ดูมีมูลค่าขึ้นมากทีเดียว

จบด้วยการแจกเมล็ดพันธ์ุ กลับบ้าน เพื่อให้ผู้มาอบรมได้นำกลับไปปลูกที่บ้าน และสามารถส่งต่อให้กับชุมชนของตนเองได้ต่อไป
งานนี้เด็กๆ เยาวชน ต่างสะท้อนกิจกรรมที่ได้ร่วมทำกัน ว่าจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้กับครอบครัวและชุมชนของตนเอง จะนำไปขยายผลต่อจัดกิจกรรมเพิ่มความรู้ให้กับเยาวชนเพิ่มขึ้น ทำพื้นที่ตนเป็นพื้นที่ต้นแบบ และอีกมากมาย
นอกจากเยาวชนเหล่านี้จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ประสบการณ์ ได้พัฒนาตนแล้ว พวกเขายังได้สร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมเส้นทางนี้อีกด้วย
เราเชื่อว่าทุกคนจะเป็นแรงหนุนที่จะช่วยกันเสริมกำลังใจให้กันและกันในวันที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ เพราะเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เป็นเส้นทางที่ต้องใช้ความรัก ความเพียร ความอดทน ความสามัคคีเป็นที่ตั้ง

การเติบโตของเยาวชนกลุ่มนี้ ที่จะเดินไปบนเส้นทางสายนี้ยังคงอีกยาวไกล เราได้แต่หวังว่าพวกเขาจะสามัคคีกัน ช่วยเหลือ สนับสนุนกัน และเดินไปด้วยกันโดยไม่ใครเผลอเดินออกนอกเส้นทางไปเสียก่อน
เรื่อง / Writer : ณฐ๑
ภาพ / Photographer : สื่ออารยธาม